ผลสำรวจเผย ไนจีเรีย กลายเป็นประเทศที่มีประชากรใช้บิทคอยน์มากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดยมีแรงผลักดันสำคัญมาจากภาวะความยากจน
รายงานระบุว่า แม้ 70% ของประชากรชาวไนจีเรียจะอาศัยอยู่ใต้เส้นความยากจน แต่ผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ กลับพบว่า ประเทศแห่งนี้มีการยอมรับและใช้บิทคอยน์ในหมู่ประชาชนมากเป็นอันดับที่สามของโลก และแรงขับสำคัญที่ทำให้ประชาชนเข้าหาบิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลก็คือความอย่างจน
ทั้งนี้ ความยากจนทำให้ชาวไนจีเรียหลายคนดิ้นรนขวยขวายหาทางเลือกเพื่อการลงทุน รวมถึงหาทางหลีกเลี่ยงระบบธนาคารดั้งเดิมที่มีอยู่ โดยรายงานฉบับหนึ่งของบีบีซีได้ให้รายละเอียดด้วยการตามติดชีวิตของหนุ่มชาวไนจีเรียรายหนึ่ง พร้อมอธิบายถึงความเป็นมาก่อนที่เจ้าตัวจะได้ลงทุนในบิทคอยน์
บีบีซีรายงานว่า หนุ่มชาวไนจีเรียรายนี้เดินทางมาที่เมืองลากอส เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อหางานทำ ด้วยหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น ชายหนุ่มจึงใช้เงินค่าแรงขั้นต่ำที่เก็บออมมาไปลงทุนในบิทคอยน์ในปี 2016 รวมมูลค่า 100-200 ดอลลาร์สหรัฐ ผ่านมากว่า 4 ปี จากหนุ่มยากจนกลายเป็นเศรษฐีตัวเล็กที่มีบิทคอยน์ในครอบครองรวมมูลค่าราว 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เจ้าตัวสามารถซื้อบ้าน ซื้อที่ดินทำกินได้สบาย
เรียกได้ว่าเป็นความฝันที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์เงินเดือนชาวไนจีเรียในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้
นอกเหนือจากเป้าหมายเพื่อการลงทุนแล้ว การเข้าหาคริปโตเคอร์เรนซีของชาวไนจีเรียยังมีสาเหตุมาจากการที่ชาวไนจีเรียส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่มีบัญชีธนาคารเพราะความยากจน ดังนั้น บิทคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีจึงเป็นช่องทางในการอำนวยความสะดวกเรื่องของการชำระเงินต่างๆ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
แม้ว่ารัฐบาลไนจีเรียจะออกกฎหมายห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์ แต่ก็ไม่ช่วยระงับการเทรดบิทคอยน์อยู่ดี โดยมีรายงานว่า การเทรดแบบ peer-to-peer ของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นราว 16% นับตั้งแต่ประกาศกฎหมายแบนบิทคอยน์ประกาศใช้ออกมา
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ค่าเงินยังมีส่วนผลักดันให้ชาวไนจีเรียหันเข้าหาบิทคอยน์มากขึ้น โดยค่าเงินสกุลเงินไนราของประเทศปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักของโลกอย่างดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งย้อนไปเมื่อเวลานั้น 1 ดอลลาร์สหรัฐและได้ 200 ไนจีเรีย ไนรา แต่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นสองเท่า มาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อราว 380 ไนจีเรีย ไนรา
ค่าเงินที่อ่อนค่าลงเรื่อยๆ ทำให้ชาวไนจีเรียจำนวนมากหันมาสั่งสมบิทคอยน์เพื่อใช้เป็นกองทุนป้องกันมูลค่าเงินสดที่สูญไป
ทั้งนี้ กรณีของไนจีเรีย ถือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้โลกได้เห็นว่า คริปโตเคอร์เรนซีอาจเป็นโซลูชั่นที่เหมาะสมสำหรับประเทศที่ระบบธนาคารอ่อนด้อย คนเข้าไม่ถึง ตลอดจนการเข้ามาช่วยยกระดับความยากจนภายในประเทศให้ดีขึ้น
โดยต้นทุนค่าบริการของคริปโตเคอร์เรนซีอยู่ใระดับที่ต่ำมาก และการหยิบยื่นอาวุธอย่างการบริการทางการเงินให้กับผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงบริการดังกล่าวของธนาคารก่อนหน้านี้ ทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่า ในที่สุดแล้ว การเข้าถึงแหล่งเงินทุนจะช่วยให้ความยากจนถูกกำจัดออกไปได้
