ตั้งแต่ต้นปี 2020 เป็นต้นมา ปัจจัยลบต่างๆโถมเข้าหาสินทรัพย์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน จนล่าสุดคือการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ส่งผลต่อตลาดหุ้นในเอเชียนำโดยตลาดหุ้นจีนติดลบกันถ้วนหน้า
โดยดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวลดลง 5%,อินโดนีเซีย -4%,ฟิลิปปินส์ -4%,ไต้หวัน -3% ตลาดหุ้นไทย -2.82% โดยดัชนี MSCI Asia Pacific ให้ผลตอบแทน -1%
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นหลักของโลกที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดคือดัชนี NASDAQ ที่สร้างผลตอบแทน +6.11% เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำโดยกลุ่ม FANG ยังสร้างผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง
แต่สินทรัพย์ดิจิทัลยังคงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนได้ในระดับเลขสองหลักทั้งหมด ตัวดันตลาดหนีไม่พ้นสองเหรียญหลักอย่าง BTC และ ETH ที่พลิกกลับเป็นขาขึ้นในภาพระยะกลางถึงยาวได้ชัดเจน
จากกราฟ BTC ในไทม์เฟรมระดับ Week จะเห็นได้ว่านอกจากการ Breakout เทรนด์ไลน์ (เส้นสีเหลือง) แล้ว Indicator ที่สำคัญอย่าง MACD ได้บอกว่ากลับมายืนเหนือเส้น 0 แล้วหลังจากติดลบมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง บ่งบอกว่าได้กลับมาเป็นต้นทางของขาขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ระยะกลางถึงยาวอย่าง EMA89 (เส้นสีแดง) และ EMA200 (เส้นสีเขียว) ราคา BTC ยืนเหนือสองเส้นดังกล่าวนี้บ่งบอกว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเช่นกัน
ขณะที่ ETH ระดับไทม์เฟรม Week เช่นกัน MACD ได้ตัดขึ้นยืนเหนือระดับ 0 บ่งบอกว่ากลับมาเป็นขาขึ้นได้แล้ว นอกจากนี้ยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA89,200 วันอีกด้วย
ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการขึ้นของ BTC ก็คือการ Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้
อ่านบทความ : Bitcoin Halving คืออะไร? เมื่อบิทคอยน์โดนหั่นครึ่ง
ขณะที่ ETH มีประเด็นของการที่ Ethereum ถูกนำไปใช้ในการ Backup โปรเจคท์ Decentralize Finance (Defi) แล้วถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่ผลักดันราคาอย่างชัดเจน
อ่านบทความ : Decentralized Finance เทคโนโลยีที่จะมาแทนที่ธนาคาร?
การที่ภาพใหญ่ของ BTC และ ETH เป็นขาขึ้น ทำให้การลงทุนหลังจากนี้เป็นการ Bias ในขาขึ้นเป็นหลัก ดังนั้นผู้ที่เทรดด้วยตราสารอนุพันธ์ไม่ควรที่จะเล่นทาง Short แต่กลยุทธ์การเข้าซื้อจะเป็นการเข้าซื้อเมื่อย่อตัว (Buy On Dip) เป็นหลัก
ขณะที่กลยุทธ์ในระยะสั้น เส้นสีม่วงคือกรอบการเทรดของ BTC ในระยะสั้นจะเห็นว่าเป็นขาขึ้นที่ชัดเจน แนวต้านระยะต่อไปคือ 11,000 เหรียญ นอกจากจะเป็นจุดสูงสุดเก่าที่จะต้องทะยอยฝ่าไปทีละขั้นแล้วยังเป็นระดับราคาตามแนว Fibonacci อีกด้วย ส่วนแนวรับไม่ควรจะต่ำกว่า 9,500 เหรียญ
