Cuy Sheffield หัวหน้าฝ่ายคริปโตของ VISA ผู้ให้บริการชำระเงินระดับโลก ได้ทวีตบนทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า ธนาคารกลางต่าง ๆ ยังไม่ให้ความสำคัญในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติ (CBDC) ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ใช้แต่อย่างใด
“หากธนาคารกลางตัดสินใจสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัลให้กับผู้ใช้งานทั่วไปโดยตรง มันจะทำให้ธนาคารกลางกลายเป็นผู้รับผิดชอบการใช้จ่ายเงินทั้งหมดของประชาชนในประเทศ ซึ่งดูเหมือนในขณะนี้เหล่าธนาคารกลางยังไม่มีความพร้อมและศักยภาพที่เพียงพอ”
เขายังได้ยกงานวิจัยของบริษัทด้านบล็อกเชนอย่าง R3 ที่ชี้ว่า ยังไม่มีธนาคารกลางใดที่มุ่งพัฒนา CBDC สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปโดยตรง
Sheffield มองว่า CBDC สามารถนำมาใช้งานได้สองรูปแบบ แบบแรกคือนำมาใช้งานสำหรับประชาชนทั่วไปแทนเงินสด แบบที่สองคือใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินให้กับเหล่าธนาคารต่าง ๆ
ซึ่งถ้าหากเป็นแบบแรก คำถามสำคัญที่จะต้องตอบประชาชนให้ได้คือ เงิน CBDC นั้นแตกต่างจากเงินฝากในรูปแบบดิจิทัลที่มีอยู่แล้วในธนาคารอย่างไร โดยเขาระบุว่า “มันคงเป็นเรื่องยากที่จะไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าทำไมต้องหันมาใช้ CBDC ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอะไรแตกต่างจากแอปกระเป๋าเงินทั่ว ๆ ไปอย่าง Venmo เลย”
เขาให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า CBDC จะต้องมีฟีเจอร์ที่ต่างไปจากกระเป๋าเงินดิจิทัลทั่ว ๆ ไป เช่น คุณสมบัติความเป็นส่วนตัวที่เลือกได้ว่าจะไม่เผยตัวตนบางส่วน รวมถึงความสามารถในการชำระเงินแบบออฟไลน์ ไม่เช่นนั้นผู้บริโภคจะหาความแตกต่างระหว่าง CBDC กับการชำระเงินผ่านแอปฯทั่ว ๆ ไปไม่เจอและไม่เลือกที่จะเปลี่ยนมาใช้งานระบบของธนาคารกลาง
สำหรับรูปแบบที่สองของ CBDC คือการเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินให้แก่ธนาคารต่าง ๆ การใช้งานในรูปแบบนี้ประชาชนไม่จำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้ธนาคารกลางโดยตรง แต่ขึ้นอยู่กับธนาคารพาณิชย์ที่จะสร้างระบบ Wallet ของตัวเองขึ้นเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า
ล่าสุด VISA ได้ยื่นจดสิทธิบัตรสกุลเงินดิจิทัลกับหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐอเมริกา สะท้อนให้เห็นว่าบริษัท VISA ได้หันมาสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน คริปโตเคอเรนซี่ และสกุลเงินดิจิทัลอย่างจริงจัง
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : LIBRA 2.0 vs หยวนดิจิทัล: ใส่เกียร์เดินหน้าผลักดันเงินดิจิทัลเต็มสูบ
