การล่มของเฟซบุ๊กสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการกระจายอำนาจ

จากกรณีที่ Facebook และแอปพลิเคชั่นในเครืออย่าง Messenger, Instagram และ WhatsApp ประสบเหตุขัดข้องเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2021ที่ผ่านมา ซึ่งกินเวลานานกว่าเจ็ดชั่วโมง

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยได้ค้นพบสาเหตุว่าสืบเนื่องจากการถอนตัวของคำนำหน้าที่อยู่ IP ของ Border Gateway Protocol (BGP) ที่ Domain Name Servers (DNS) ของ Facebook เป็นโฮสต์อยู่

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นในภาษาของคนธรรมดาทั่วไปก็คือว่า ข้อมูลการกำหนดเส้นทาง DNS และ BGP ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ของ Facebook หายไปอย่างกะทันหัน ทำให้แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ DNS จะยังคงทำงานอย่างถูกต้อง แต่กลับไม่สามารถเข้าถึงได้

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการรวมศูนย์ (centralisation) อย่างไร?

Facebook, Messenger, Instagram, WhatsApp และแอปพลิเคชั่นในเครืออื่นๆ ทั้งหมดเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว โมเดลประเภทนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า “การรวมศูนย์” (centralisation) ทำให้เนื่องจากแพลตฟอร์มทั้งหมดต้องอาศัยคอมพิวเตอร์กลางเครื่องนั้น ระบบทั้งหมดจึงสามารถหยุดทำงานพร้อมกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางได้หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น

ในทางกลับกัน การกระจายอำนาจ หรือ Decentralisation ไม่ได้อาศัยเจ้าของส่วนกลางเพียงคนเดียว ระบบมีเจ้าของส่วนกลางหลายคนแทน หากตัวใดตัวหนึ่งไม่ทำงาน อีกตัวหนึ่งสามารถทำงานต่อได้โดยไม่มีปัญหา

“การล่มของ Facebook และ Instagram ในปัจจุบัน รวมถึงแอปอื่นๆ แสดงให้เห็นปัญหาของการรวมศูนย์

 

บนเว็บแบบกระจายศูนย์หรือ Web 3.0 จะทำให้ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลและรายชื่อติดต่อไปยังบริการอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากไม่ต้องพึ่ง Facebook หรือ Facebook เข้าสู่ระบบเพื่อติดต่อเพื่อนและครอบครัวหรือใช้แอฟรายการโปรด”

Matthew Gould ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Unstoppable Domains กล่าว

ในขณะที่ต้นตอของการล่มนั้นเกี่ยวข้องกับ DNS ในท้ายที่สุด สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอินเทอร์เน็ตแบบเปิดและกระจายอำนาจ ผู้ใช้ยังสามารถเป็นเจ้าของข้อมูลของตนได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผลที่ตามมาของการหยุดชะงักทำให้มูลค่าตลาดของ Facebook ลดลงจาก 967,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 919,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งต่ำกว่ามูลค่าตลาดของบิทคอยน์ที่ประมาณไว้ที่ 968,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ