Paul Tudor Jones มหาเศรษฐีผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Tudor Investment Corporation และยังเป็นตำนานแห่ง Wall Street ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสำนักข่าว Bloomberg ว่าเขาได้ทำการเข้าลงทุนในบิทคอยน์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้น
“กลยุทธ์การทำกำไรที่ดีที่สุดคือการเลือกม้าตัวที่วิ่งเร็วที่สุด หากผมถูกบังคับให้ต้องเลือก ผมขอเลือกเดิมพันไว้กับบิทคอยน์”
นาย Paul Tudor Jones กล่าวในบทความวิเคราะห์ตลาดภายใต้ชื่อ “The Great Monetary Inflation” ไว้ว่า การลงทุนในบิทคอยน์จะช่วยป้องกันพอร์ตฟอร์ลิโอของเขาจากภาวะเงินเฟ้อที่มีสาเหตุจากการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบโดยธนาคารกลาง โดยเขาคำนวนว่ามีเม็ดเงินจำนวนกว่า 3.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 6.6% ของเศรษฐกิจโลกได้ถูกสร้างเพื่ออัดฉีดเข้ามาสู่ระบบการเงินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
“บิทคอยน์ ทำให้ผมนึกถึงทองคำในช่วงปี 1970 ที่มันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงจาก 35 ดอลลาร์ไปสู่ 850 ดอลลาร์” นาย Jones กล่าว
นักลงทุนในตำนานวัย 65 ปี ยังระบุว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขาได้เข้าไปลงทุนใน Bitcoin Futures เล็กน้อย คิดเป็นระดับเลขตัวเดียวของสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด แต่ก็อย่าลืมว่านาย Jones มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับรวมถึงกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ดูแลทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาทอีกด้วย
Paul Tudor Jones ไม่ได้เป็นคนแรกที่เห็นว่าบิทคอยน์จะเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้ BitMEX ซึ่งเป็น Derivatives Exchange รายใหญ่ได้ออกมาวิเคราะห์ว่า การอัดฉีดเงินอย่างไม่ยั้งเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจะกลายเป็นโอกาสที่ดีของบิทคอยน์ที่จะแสดงศักยาภาพในการเป็น Hard Money
รวมถึงนักลงทุนระดับแสนล้านนาย Tim Draper ได้ออกมาวิเคราะห์ว่าในสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติทางการเงิน บิทคอยน์จะผู้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้ ไม่ใช่ธนาคารหรือรัฐบาลแต่อย่างใด
ขณะที่นักลงทุนในคริปโตฯทั่วโลกกำลังจับตามองการเกิด Bitcoin Halving ที่ใกล้จะมาถึงในวันที่ 12 พฤษภาคมที่กำลังจะถึงนี้ โดยในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 11% และถือเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของปีนี้แซงหน้าทองคำและตลาดหุ้นไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : Bitcoin พุ่งทะลุ 10,000 ดอลลาร์แล้วก่อนนับถอยหลัง 4 วันสุดท้ายก่อน Halving
