fbpx
Skip to content Skip to footer

The Dangerous Gap เมื่อ Wall Street และ Main Street ถูกแยกออกจากกัน แล้ว Crypto Street จะไปทางไหน??

wall street main street

The Dangerous Gap คือพาดหัวหน้าหนึ่งบน นิตยสาร The Economist ซึ่งอธิบายปรากฎการณ์ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นดั่งกระทิง ทั้งที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิดยังไม่จางหายไป

ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ เสมือนว่าโลกนี้ไม่มีไวรัสโควิดเกิดขึ้น (พอเข้าใจได้ว่าหุ้นเทคโนโลยีไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรแถมได้ประโยชน์อีกด้วย) ดัชนี S&P500 กำลังจะกลับไปอยู่ในจุดเดิมก่อนเกิดวิกฤติ หุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างสายการบินปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง

Wall Street เปรียบเสมือนตัวแทนของภาคการเงิน ส่วน Main Street เป็นตัวแทนของภาคเศรษฐกิจจริง อดีตที่ผ่านมาทั้งสองส่วนจะมีทิศทางเดียวกัน คือหากเศรษฐกิจเติบโตร้อนแรง ตลาดหุ้นก็จะคึกคักไปด้วย หากเศรษฐกิจแย่ ตลาดหุ้นก็จะแย่ไปด้วย

แต่ในขณะที่คนอเมริกันและทั่วโลกตกงานเป็นจำนวนมากชนิดที่ระดับความเลวร้ายเท่ากับสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นชนิดที่สวนทางกับความรู้สึก จึงเป็นที่มาของคำว่า The Dangerous Gap ระหว่างภาคการเงินกับเศรษฐกิจจริง

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : การมาของ “หยวนดิจิทัล-ลิบรา” เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตคนไทย เราควรเรียนรู้อะไรจากมัน

ขณะที่ตลาดคริปโต หรือจะเรียกว่า Crypto Street ก็ได้ จะเลือกอยู่ฝั่งไหนหรือจะเดินในทิศทางของตัวเอง??

ท่ามกลางตลาดหุ้นที่พุ่งอย่างร้อนแรง ตลาดคริปโตไม่ได้พุ่งขึ้นตาม รวมถึงทองคำที่เป็น Safe Haven ก็ถูกเทขาย แสดงว่าคริปโตถูกแยกตัวออกจาก Wall Street แต่เมื่อใดที่เม็ดเงินที่เกิดจากเครื่องจักรผลิตเงิน (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) ลงเหลือค้างอยู่ในระบบจนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เมื่อนั้นคริปโตจะเข้ามาทำหน้าที่ของมันเองด้วยการเป็นสกุลเงินทางเลือก

วิกฤติโควิด-19 ทำให้ตำราทางเศรษฐศาสตร์และการลงทุนต้องปรับปรุงขึ้นใหม่ หนึ่งในนั้นจะต้องรวมการมีตัวตนของสกุลเงินดิจิทัลเข้าไปด้วย

อ่านเพิ่มเติม : (วิเคราะห์) นอกจาก Facebook จะมีใครสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองได้อีก

วิเคราะห์ทางกราฟเทคนิค BTC 

The Dangerous Gap

หันมามองภาพใหญ่ของบิทคอยน์ จะเห็นได้ว่าการขึ้นไปทดสอบระดับ 10,400 ดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการทดสอบเส้นเทรนด์ไลน์ขากดในภาพใหญ่ซึ่งลากลงมาจากจุดสูงสุด 19,900 ดอลลาร์ และมีการขึ้นไปทดสอบแนวต้านนี้มาแล้วในปีที่แล้วแต่ไม่ผ่าน 

ตลอดทั้งเดือนนี้จะต้องจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของบิทคอยน์ว่าจะเลือกทิศทางในภาพใหญ่อย่างไร สมมุติฐานแรกหาก Breakout ผ่านเทรนด์ไลน์นี้ไปได้ จะมีแนวต้านแรกตามแนว Fibonacci ที่ 11,451 ดอลลาร์ และเป้าหมายใหญ่คือทดสอบจุดสูงสุดเดิม

แต่ถ้าทดสอบแล้วไม่ผ่าน ราคาอาจจะเคลื่อนไหวในกรอบไซด์เวย์ โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 7,000 ดอลลาร์ แต่หากยังรับไม่อยู่ทิศทางจะเปลี่ยนเป็นขาลง โดยมีแนวรับสำคัญคือเส้นเทรนด์ไลน์ด้านล่างที่ประครองภาพของบิทคอยน์ในระยะยาวในรูปแบบสามเหลี่ยมที่กำลังบีบตัวอยู่

The Dangerous Gap

สำหรับภาพระยะสั้น บิทคอยน์ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) 89,200 วัน ในภาพใหญ่จึงยังเป็นขาขึ้น และไม่นานมานี้เส้น EMA89 ยังได้ตัดเส้น EMA200 วันขึ้น จึงเข้ารูปแบบของ Golden Cross ที่จะพาบิทคอยน์เป็นขาขึ้นได้

อ่านเพิ่มเติม : บิทคอยน์-ลิบรา-หยวนดิจิทัล ใครจะได้ปกครองระบบการเงินโลกใหม่

Leave a comment

เกี่ยวกับ NewsFirstLine

สื่อชั้นนำด้านบล็อกเชนและคริปโตในภูมิภาคเอเชีย นำเสนอข่าวสารด้านเทคโนโลยีและการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอย่างรอบด้านและเจาะลึก ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสิงคโปร์และประเทศไทย

สมัครรับข่าวสารจาก SCN