fbpx
Skip to content Skip to footer

ทำความรู้จัก Yearn Finance โทเคนสาย DeFi ที่ราคาแพงกว่าบิทคอยน์!!

Yearn Finance

Yearn Finance หรือ YFI โทเคนสาย DeFi ที่กำลังมาแรงด้วยคุณสมบัติเด่นด้วยการจำกัดซัพพลายเพียง 30,000 เหรียญ และเคยวิ่งขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 16,500 ดอลลาร์ ทั้งที่ราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 31.65 ดอลลาร์เท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นโทเคนที่ราคาแพงที่สุดในตลาดคริปโต แพงยิ่งกว่าบิทคอยน์เสียอีก

ปัจจุบัน Yearn Finance มีมูลค่าเหรียญที่ถูกล๊อกไว้ 824 ล้านดอลลาร์ มีมาร์เกตแคปอันดับที่สี่ของเวบไซต์ DeFi Pluse (ตัวเลข ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2563) โดยมีเทคโนโลยี Backup คือ Ethereum

YFI ทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของ Yearn Finance คือการทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมข้อมูล (Aggregators) ผู้ให้บริการกู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลในโลกของ DeFi ไม่ว่าจะเป็น Compound ,Aave, Fulcrum, dydx, ddex และ  dForce 

ผู้ใช้งานต้องนำสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง DAI,USDT,USDC,TUSD และ SUSD เข้าไปฝากไว้ในแพลตฟอร์มแล้วจึงจะได้เป็นโทเคน yTokens จากนั้นทางแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่ Rebalance จัดหาผลตอบแทนที่ได้จากการให้กู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์ม yVaults โดยผู้ใช้งานจะเสียค่าธรรมเนียมการถอน 0.5% และค่า gas อีก 5%

โดยทางโปรโตคอลจะนำสินทรัพย์ดิจิทัลที่มาฝากไว้ไปใช้ดูแลสภาพคล่องของตลาดแบบอัตโนมัติ (Automated Market Maker) ผ่านทาง yDAI, yUSDC, yUSDT และ yTUSD เพื่อให้เกิดวอลลุ่มที่สูงพอให้เกิดการซื้อง่ายขายคล่อง รวมถึงนำไป

พูดง่ายๆคือผู้ใช้งานไม่ต้องไปเสียเวลาหาโปรโตคอลอื่นที่ให้ผลตอบแทนจากการฝากสินทรัพย์ดิจิทัลให้กู้ เพียงแค่มาใช้บริการYearn Finance เพียงแห่งเดียวทางโปรโตคอลจะจัดการหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงให้เลย

บทความที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จัก Decentralize Exchange ตลาดซื้อขายที่ไม่มีตัวกลาง

จุดเด่นที่จำกัดซัพพลายชัดเจนและไม่มีผู้ควบคุมดูแลโทเคน

จุดเด่นสำคัญของโทเคน YFI คือการกำหนดซัพพลายให้มีอย่างจำกัดชัดเจนคือ 30,000 เหรียญเท่านั้นโดยที่คณะผู้ก่อตั้งไม่ได้เสนอขาย Pre Sale ให้กับผู้ใดแม้แต่ผู้ก่อตั้งเองก็ยังไม่มีโทเคนดังกล่าวอยู่กับมือเลยอีกทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้สามารถขุดเพิ่มได้  การที่จะได้เป็นเจ้าของโทเคนYFI นี้จะได้จากการที่มีส่วนร่วมเพิ่มสภาพคล่องในแพลตฟอร์มด้วยการใช้ yTokens เท่านั้น

YFI จะทำหน้าที่เป็น Governance Token ก็คือผู้ที่มีโทเคนนี้จะได้รับสิทธิในการโหวตหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆภายในโปรโตคอลนั่นเอง

โทเคน YFI เริ่มต้นด้วยราคาเพียง 31.65 ดอลลาร์ เริ่มเปิดให้ซื้อขายตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม ปีนี้ หากนับจากราคาในกระดานปัจจุบันได้สร้างผลตอบแทนแล้วกว่า 43,873.6% ที่ระดับราคา 13,940 ดอลลาร์ โดยราคาสูงสุดเกิดขึ้นในวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมาที่ระดับ 16,081.59 ดอลลาร์

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : “บล็อกเชน” เข้ามาปฎิวัติอุตสาหกรรมการเงินและธนาคารอย่างไร

สามารถซื้อขายใน Exchange ไหนได้บ้าง

ปัจจุบัน YFI ลิสต์ในตลาดรองเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นนั่นคือ Binance รวมถึงลิสต์ใน Decentralize Exchange อย่าง Uniswap และ Balancer

สำหรับเวบเทรดในประเทศไทย สามารถหาโทเคน YFI ได้ที่ www.bitazza.com  ซึ่งเป็นโบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับไลเซ่นส์จากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้วเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มีการจำกัดซัพพลายของเหรียญที่ไม่สามารถผลิตใหม่เพิ่มได้อีกและผู้ก่อตั้งไม่มีส่วนร่วมใดๆในการเป็นเจ้าของโทเคน ทำให้ราคาโทเคนที่ซื้อขายในตลาดรองเวลานี้มีราคาที่สูงมากกว่าราคาบิทคอยน์ด้วยซ้ำ ซึ่งสิ่งนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ YFI ได้อย่างมาก 

แม้ราคาจะพุ่งขึ้นมาสูงมากแล้วแต่ถือว่าเป็นหนึ่งโทเคนสาย DeFi ที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก และน่าจะเป็นต้นแบบของการออกแบบโทเคนที่จำกัดซัพพลายอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันผู้สร้างเหรียญไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือเป็นเจ้าของทำให้เกิดมูลค่าที่เพิ่มขึ้นและมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง

ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษาเทคโนโลยีของ YFI เพิ่มเติมได้ที่เวบไซต์อย่างเป็นทางการที่ https://yearn.finance/

ราคาทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง

เมื่อคืนที่ผ่านมา (29 สิงหาคม 2563) ราคา YFI พุ่งแรงกว่า 37% ทะลุระดับ 25,200 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนว Fibonacci 161.8 หากสามารถยืนอยู่เหนือระดับดังกล่าวได้จะมีเป้าหมายถัดไปที่แนว Fibonacci 261.8 ที่ระดับ 390,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม RSI บ่งชี้ว่าราคาเข้าเขต Overbought มากเกินไป มีโอกาสที่จะพักฐานได้ตลอดเวลา ขอให้ระมัดระวังการลงทุน

ถือเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ DeFi ที่มีอนาคตและน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : Decentralized Finance เทคโนโลยีที่จะมาแทนที่ธนาคาร?

Leave a comment

เกี่ยวกับ NewsFirstLine

สื่อชั้นนำด้านบล็อกเชนและคริปโตในภูมิภาคเอเชีย นำเสนอข่าวสารด้านเทคโนโลยีและการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอย่างรอบด้านและเจาะลึก ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสิงคโปร์และประเทศไทย

สมัครรับข่าวสารจาก SCN